แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โจโฉ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โจโฉ แสดงบทความทั้งหมด

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๑/๒ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๑/๒

โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)


          เมื่อโจโฉทราบความแล้ว ก็ต้องปรึกษาซุนฮกว่า เมื่อการเป็นดังนี้ จะทำอย่างไรต่อไป ซุนฮกจึงว่า
ข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายอีกข้อหนึ่ง เรียกว่า เสือกลืนหมีโจโฉถามว่า เสือกลืนหมีนั้นทำประการใด

ซุนฮก จึงเล่าแจ้งแถลงไขว่า
อันน้ำใจของลิโป้นั้นมิซื่อต่อผู้ใด ให้ท่านแต่งคนไปบอกอ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยงว่า เล่าปี่มีหนังสือถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขอไปตีเมืองลำหยง ถ้าอ้วนสุดได้ยินดังนี้ ก็จะมีความโกรธ เห็นจะยกทหารชิงมารบกับเมืองเล่าปี่ก่อน เมื่อทั้งสองฝ่ายรบกัน ถ้าผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ ลิโป้ก็จะซ้ำเป็นมั่นคง แล้วท่านค่อยคิดการต่อไป
โจโฉ เห็นชอบกับแผนนี้ทันที รีบดำเนินการเป็นสองทางคือ ทางหนึ่ง ให้คนถือกระแสรับสั่งไปยังเมืองชีจิ๋ว ให้เล่าปี่ ไปตีเมืองลำหยงของอ้วนสุด อ้างว่าไม่อ่อนน้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทางหนึ่งก็ให้คนไปแจ้งทางอ้วนสุดที่เมืองลำหยง
อ้วนสุดพอรู้เหตุ ก็โกรธ จึงว่า เล่าปี่นั้นชาติอ้ายทอเสื่อขาย บัดนี้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว คิดการกำเริบจะล่วงมาตีเอาเมืองเรา เราจะนิ่งให้มันมาเหยียบถึงแดนเราใยจึงให้กิเหลงทหารเอกเป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่น ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว ตามแผนของซุนฮกทุกประการ
ในสามก๊ก เรื่องที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นประวัติดั้งเดิม ตั้งแต่ ไอ้ลูกสามพ่อ จนถึง ชาติอ้ายทอเสื่อแล้วก็มาถึง ท่านนี้หรือชื่อล๊กเจ็ก เมื่อน้อยลักส้มไปให้มารดาซึ่งจะได้ยินกันอีกหลายครั้งในเรื่องการชักประวัติ ในภายภาคหน้า เห็นได้ว่า คนจีน ต้องรู้ประวัติ เพื่อรู้แนวทางของการกระทำ และวิธีคิดต่อไป
สำคัญนะคะ จะรู้จักใครต้องดูแนวทางของเขาในอดีตด้วย อย่างลิโป้ นี่รู้กันทั่วว่า นิสัยมักทรยศเนรคุณ
เล่าปี่นั้น ความจริงก็รู้ทัน โจโฉ อยู่ แต่ว่าเป็นกระแสรับสั่ง จึงต้องทำไปตามนั้น ซุนเขียนที่ปรึกษาบอกว่า ให้จัดแจงทหารซึ่งมีสติปัญญาไว้อยู่รักษาเมือง ซึ่งเล่าปี่ก็เห็นชอบด้วย



ใครที่คิดจะเป็นตัวเอกหรือตัวละครที่สำคัญในเรื่องสามก๊ก ต้องเป็นผู้มีสติปัญญา ใครอ่านสามก๊กไม่เข้าใจ เขาก็อาจจะกล่าวหาว่าเรานั้น หาสติปัญญามิได้



กวนอู เข้าใจดี ถึงความมีสติปัญญาของตน จึงอาสาอยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงว่า เจ้าเป็นที่ปรึกษาเรา ซึ่งจะอยู่รักษาเมืองนั้นมิได้
เตียวหุย จึงอาสา เล่าปี่จึงว่า
ตัวเจ้ามักเสพย์สุรา แล้วโบยตีทหาร ประการหนึ่งก็เป็นคนใจร้าย มิได้ฟังผู้ใดห้ามปราบ จะไว้ใจให้อยู่รักษาเมืองมิได้
เตียวหุยจึงว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่เสพย์สุราเลย ถ้าจะทำการสิ่งใด จะปรึกษาหารือผู้มีสติปัญญาก่อนจึงจะทำ แม้นผู้ใดห้ามปรามจะฟังคำ
บิต๊ก จึงว่า เกรงอยู่แต่จะไม่เหมือนถ้อยคำท่าน
เตียวหุย ก็โกรธ ตอบว่า เราตั้งใจทำการด้วยเล่าปี่มาหลายปีแล้ว ท่านจะมาว่าเรานั้นมิควรเล่าปี่จึงรีบห้าม แล้วบอกว่า
เจ้าจะอยู่รักษาเมืองนั้นเราไม่ไว้ใจ แต่ได้ให้สัญญาแล้วจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เอาตันเต๋งไว้เป็นที่ปรึกษาด้วย จะได้ตักเตือนห้ามปรามอย่าให้เสพย์สุรานัก ราชการบ้านเมืองจึงจะไม่เกิดเหตุการณ์

เตียวหุย กับตันเต๋งก็รับคำเล่าปี่เป็นอันนี้ ซึ่งผู้อ่านสามก๊กทั้งหลายเป็นผู้มีสติปัญญา ก็เดาได้ว่า ต้องเกิดเรื่องแน่นอน

บุคคลที่หาสติปัญญามิได้ ในดวงชาตา ดาว ๕ และ ดาว ๔ จะไม่ถึงกัน ดาว ๕ มักอยู่ในราศีธาตุลม แสดงเหตุถึงความคิด เอาความสบายใจของตัวเป็นหลัก ชอบตามใจตนเอง ยิ่งมีดาว ๘ มีกำลัง คือ เป็นมหาจักร เป็นอุจจ์ เป็นเกษตร มีกำลังมากกว่าดาว ๕ มักเดินทางผิด ทำอะไรขาดจังหวะ ขาดการอันควรและขาดกาลเทศะ


เมืองชีจิ๋ว ก็มีทำเลแปลก นำภัยมาสู่เจ้าเมืองเกือบทุกคน ตั้งแต่ โตเกี๋ยม เล่าปี่ ลิโป้ และท้ายสุด เตียวหุยนี่แหละ
อ่านบทความสามก๊กย้อนหลัง เชิญอ่านได้ที่

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๑/๑ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๑/๑
โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

          นับวัน การวางกลอุบายในสามก๊กก็จะเริ่มเข้มขึ้น ซึ่งคงเป็นไปตามลำดับจนกว่าจะเป็น...สามก๊กจริงๆ ซึ่งก็จะทวีความเข้มข้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ

สำหรับตอนนี้ เป็นเพียงกลอุบายเล็กๆ แต่ก็เป็นตอนสำคัญที่แสดงถึงจุดอ่อนของเตียวหุย ทำให้เสียการใหญ่ ซึ่งกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้แล้วเจ้าคะ

โจโฉ ตอนนี้เป็นใหญ่อยู่ในเมืองหลวง คุมอำนาจเต็มร้อย อยู่มาวันหนึ่ง ได้เชิญขุนนางมากินโต๊ะ คือ กินเลี้ยง ที่บ้าน แล้วปรึกษาความว่า บัดนี้เล่าปี่ตั้งตัวขึ้น จนได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ส่วนลิโป้ที่เป็นศัตรูของเรา ก็แตกหนีไปพึ่งเล่าปี่ เล่าปี่ให้ไปครองเมืองเสียวพ่าย เกรงว่าจะคบคิดกัน ยกทัพมาทำร้ายเรา ท่านใดจะช่วยคิดอ่านล้างศัตรูเราได้บ้าง

เคาทู จึงว่า จะขอทหารห้าหมื่น ยกไปทำการตัดศีรษะมาให้โจโฉ
คำพูดอันอาจหาญ ถูกขัด หรือ ถูกเบรกทันที โดยซุนฮกว่า

เคาทูเป็นทหารที่มีกำลังแต่หาความคิดไม่ได้ (ถ้าเป็นสมัยนี้ ขัดคอแบบนี้ คงโดนไม้หน้าสามตามด้วยหมาหมู่) ประการหนึ่งในเมืองฮูโต๋นี้ ท่านพึ่งซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ บ้านเมืองยังไม่ปรกติ ซึ่งจะยกไปนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แลเล่าปี่กับลิโป้ อุปมาดั่งเสือสองตัว ข้าพเจ้าคิดให้ชิงอาหารกันกิน

กล่าวโดยสรุป คือ ซุนฮก วางแผนให้โจโฉ กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขอตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วอย่างเป็นทางการ ให้กับเล่าปี่ เพื่อให้มีใจทำงาน แล้วมีหนังสือลับ อ้างเหตุผลความร้ายของลิโป้ ที่มักฆ่าผู้มีพระคุณ และให้เล่าปี่ฆ่าลิโป้เสีย
โจโฉ ก็ปฏิบัติตามซุนฮกทุกประการ

ฝ่ายเล่าปี่ แจ้งเนื้อความแล้วจึงบอกผู้ถือหนังสือว่า เราขอทุเลาตรึกตรองดูก่อน
ครั้นเวลาค่ำ จึงให้หาที่ปรึกษามา ก็รวมทั้งน้องร่วมสาบานทั้งสองด้วย คือ กวนอู และเตียวหุย
เตียวหุย มีความเห็นแบบไม่ต้องลังเลว่า ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย
เล่าปี่ก็ยังเฉยอยู่

ฝ่ายลิโป้รู้ว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มีหนังสือตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ก็รีบมาเยี่ยมเยือนแสดงความยินดี เตียวหุยก็ถือกระบี่ตรงเข้ามา จะเชือดคอลิโป้ เล่าปี่รีบยุดกระบี่ไว้ทัน แล้วเล่าตามความจริงทุกประการ
ลิโป้เห็นหนังสือแล้วร้องไห้ เล่าปี่ได้แต่ปลอบใจตามระเบียบ "ถึงมาตราว่า จะมีผู้ยุยงประการใด เราก็มิได้เชื่อฟัง หรือคิดร้ายต่อท่าน"
ลิโป้ได้ฟังจึงกลับเมืองเสียวพ่ายด้วยความสบายใจ

ษณอนงค์, www.sana-anong.com,ajarn ann team,ประวัติศาสตร์จีน
สามก๊ก: ภาพจากอินเตอร์เน็ต

กวนอู เตียวหุย ได้แต่ต่อว่าเล่าปี่ เล่าปี่ก็ต้องแจงให้น้องร่วมสาบานฟังว่า น้ำใจโจโฉนั้น คิดให้เรากับลิโป้แหนงกัน จึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งเราเป็นเจ้าเมือง แล้วมีหนังสือของโจโฉมาให้เราคิดฆ่าลิโป้เสีย การทั้งนี้ โจโฉคิดหวังจะให้ลิโป้กับเราเกิดรบพุ่งกัน ถ้าผู้ใดแพ้ โจโฉก็จะทำศึกแก่ผู้มีชัยเป็นหน้าเดียว หากังวลหลังมิได้ ซึ่งเราจะทำตามโจโฉนั้นไม่ควรเรียกว่า ความคิดล้ำลึกกว่านัก ต่อไป ถึงเป็นหนึ่งในสามก๊ก

กวนอูเห็นชอบด้วยทันที แต่เตียวหุยยังดึงดันบอกว่า ภายหน้าต้องฆ่ามันให้จงได้ เล่าปี่จึงว่า เจ้าคิดทำดังนี้ ก็เหมือนคนหาปัญญามิได้
ในเรื่องสามก๊ก พูดผิดมิได้แม้แต่คำเดียว มิฉะนั้นจะพบกับคำว่า หาสติปัญญามิได้

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๐/๒ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๐/๒
โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)


          ทีนี้เวลาย้ายซิคะ ต้องผ่านกองทัพของเอียวฮอง หันเซียม ที่หลบหนีมาตั้งแต่ฉบับที่แล้ว และที่เนินเขาแห่งหนึ่ง เอียวฮอง หันเซียม ให้ซิหลงคุมทหารสกัดโจมตี  โจโฉให้เคาทูออกรบ ทีท่าที่ซิหลงรำเพลงรบนั้น เข้าตากรรมการ โจโฉมองเห็นแววทหารเอกก็ชอบใจ คิดเกลี้ยกล่อมเป็นพวก

โหราศาสตร์,ธาตุไฟ,ธาตุดิน,เคาทู,ประวัติศาสตร์จีน,สามก๊ก,ษณอนงค์ คำแสนหวี
สามก๊ก:ซิหลงภาพจากอินเตอร์เน็ต


หมันทองขันอาสาเกลี้ยกล่อม โดยปลอมเป็นทหารเลวเข้าไปในค่าย เพราเหตุที่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นอันว่า เมื่อได้พบกัน หลังจากทักทายปราศรัยในสิ่งที่ควรพูดแล้ว ก็เริ่มเกลี้ยกล่อม
ซิหลงได้ฟังแล้ว ก็ถอนใจตอบว่า เรารู้อยู่ว่า เอียวฮอง หันเซียมนั้นมีสติปัญญาน้อย จะคิดการใหญ่มิได้ แต่จำเป็นเพราะได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ครั้นจะทิ้งเสียบัดนี้ก็ไม่ควร

หมันทองจึงว่า ท่านไม่ได้ยินคำโบราณว่าไว้หรือ อันธรรมดา นกจะทำรัง ก็ย่อมแสวงหาซึ่งพุ่มไม้ชัฏ จะได้ทำรังอยู่เป็นสุข ถึงลมพายุใหญ่จะพัดหนักมา รังนั้นก็มิได้เป็นอันตราย ประการหนึ่งเป็นชาติทหาร จะหาแม่ทัพ ก็ให้พิเคราะห์ดู ผู้มีใจโอบอ้อมอารี แลชำนาญในการสงคราม ถึงข้าศึกจะยกมามากมายเท่าใดก็มิได้หวาดไหว คิดอ่านป้องกันมิให้ทหารทั้งปวงเป็นอันตราย ถ้าผู้ใดพบนายที่มีสติปัญญา หมายจะพึ่งได้แล้ว ไม่เข้าทำราชการด้วย อย่าให้คนทั้งปวงนับถือความคิดผู้นั้นเลย

ถ้าบริษัทเปิดใหม่ หรือกำลังฟื้นฟู จะดึงคนดีมีฝีมือไป ก็ต้องมีคุณสมบัติอย่างที่หมันทองพูด และควรจะเกลี้ยกล่อมด้วยสำนวนนี้ รับรองว่าสำเร็จ และข้อสำคัญ ต้องดูจังหวะดาวด้วยนะคะ ต้องส่งเสริมกันดังดาวจรข้างต้น
เป็นอันว่า ซิหลง ก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีเอียวฮอง, หันเซียม ไปกับหมันทองในคืนนั้น และทำราชการอยู่กับโจโฉ ตั้งแต่นั้นมา
ส่วนทัพของสองหนุ่มก็ต้องพ่ายแพ้แก่ทัพของโจโฉ ล้มตายเป็นอันมาก และพาทหารที่เหลือหนีไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง

เมื่อโจโฉ พาพระเจ้าเหี้ยนเต้ และเหล่าสนมนางในย้ายมาอยู่ที่เมืองฮูโต๋ ซึ่งเป็นธาตุดิน ที่ส่งเสริมโจโฉอย่างยิ่ง ก็มีใจกำเริบ จึงตั้งตัวเป็นอุปราช แล้วตั้ง
ซุนฮก ซุนสิ้ว กุยแก เล่าหัวสี่คนนี้เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน
มอกาย เล็กโจ๋ ยิมจุ๋นสามคนนี้กำกับคลังแลฉางข้าว
เทียหยกเป็นเจ้าเมืองตังเป๋ง
ฮวนเสง กับ ตังเจี๋ยวเป็นเจ้าเมืองลกเอี๋ยง
หมันทองเป็นเจ้าเมืองฮูโต๋
แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหองทั้งสี่คนนี้ เป็นทหารเอก
ลิยอย ลอเตียน งักจิ้น อิกิ๋ม ซิหลงทั้งห้าคนนี้ เป็นทหารโท
เคาทู เตียนอุยเป็นทหารตรี

บรรดาทหารทั้งหลายตั้งตนเป็นขุนนางทั้งสิ้น ส่วนในเมืองฮูโต๋ ถ้าผู้ใดจะว่าข้อราชการสิ่งใดๆ ก็ต้องผ่านโจโฉก่อน จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้

จะเห็นว่า เรื่องของธาตุทั้งห้า ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ รวมถึงวิชาโหราศาสตร์ด้วย ใช้กันในระดับบ้านเมือง ทั้งช่วยในการตัดสินใจ มีบทบาทมากทีเดียวในประวัติศาสตร์ของชนชาติในภูมิภาคแบบนี้

เริ่มสนุกแล้วใช่ไหมคะ โดยเฉพาะข้าพเจ้า ..สนุกมาก

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๐/๑ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๑๐/๑
โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

          เมื่อดาวเสาร์ตีตัวออกห่างจากดาว ๘ ซึ่งเป็นคู่มิตรเก่าแก่ เดินคู่กันมาแล้วแยกกันในลักษณะเบียน คือ เป็น สี่ก็ดี หรือ เล็งกันระยะ ๑๘๐ องศา หรือกุมกันเป็น ๐ องศา ก็ตาม หรือช่วงใดที่ดาว ๓ ย้ายเข้าสู่ราศีกุมภ์ ซึ่งเป็นดาวแห่งการวิวาท และถ้าดาว ๐ เล็งกับดาว ๗ หมายถึงความแตกหักที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้


ปีไหนปีนั้น จะเกิดอะไรๆ คล้ายในสามก๊ก โดยเฉพาะตอนนี้ของสามก๊กเป็นตอนที่ เริ่มแตกแยก ตั้งตัว และชิงตัว

เห็นความสอดคล้องกับดวงดาวไหมคะ?
เกี่ยวค่ะเกี่ยว (ไม่ใช่ เกี่ยว เถอะนะ แม่เกี่ยว) คือเกี่ยวกับสามก๊ก ตอนนี้ ที่จะเล่าให้ฟังนี่แหละค่ะ

มาถึงตอนที่โจโฉ ถูกอกถูกใจดึง ตังเจี๋ยวที่ปรึกษามาเป็นพวกของตนได้สำเร็จ

กล่าวถึง อองหลิบผู้เป็นขุนนางของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เริ่มพูดจาซุบซิบกับ เล่าง่ายซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า

ข้าพเจ้า ดูดาวไทเป็ก (ซึ่งภาษาไทย แปลว่า ดาวขาวอาจหมายถึง ดาวขุนนาง”) นั้นสุกใสแต่ฤดูฝนถึงฤดูแล้ง บัดนี้ข้ามมากลบรัศมีดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้จะสูญเสียครั้งนี้ จะมีผู้ใดเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์นั่นเป็นที่งุยกับจิ้น
ลบหลู่ฮ่องเต้เชียวนะนี่

แล้วอองหลิบจึงเอาเนื้อความนี้ลอบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่พระองค์มิได้ตรัสประการใด ไม่รู้ว่าเชื่อหรือเปล่า?
เห็นได้ว่าชาวจีนโบราณ หรือนัยหนึ่งทุกชาติไม่เคยขาด โหราศาสตร์ซึ่งออกมาในรูปของการแหงนดูดาว

ฝ่ายโจโฉรู้เรื่องราวของการพยากรณ์จากการดูดาวของอองหลิบ จึงให้คนสนิทไปบอกว่า
ท่านมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน อันราชสมบัติแลการบ้านการเมืองนั้น ลึกซึ้งใหญ่หลวงนัก อย่าเพ่อให้ท่านล่วงทำนายไปก่อน
เข้าทำนองว่า อย่าเพิ่งเอะอะไป หรือ อย่าพูดมากไปนั่นเอง

แล้วโจโฉ ก็ให้หาซุนฮก บอกเนื้อความที่อองหลิบพยากรณ์ ตามดาวทุกประการ ซุนฮกตอบว่า
พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ธาตุเพลิง คือธาตุไฟ นั่นแหละค่ะ ตัวท่านธาตุดิน ถ้าท่านคิดอ่านยกไปอยู่เมืองฮูโต๋ได้ (ซึ่งก็คงเป็นธาตุดินอีก) ท่านจะคิดสิ่งใดก็จะค่อยกว้างขวางขึ้น เห็นจะเหมือนคำอองหลิบว่าเป็นมั่นคง
นี่เข้าทำนอง ฟ้าประทาน คือ ดูดาวแล้วว่า ฟ้าเปิดทาง ซุนฮก ก็ต้องให้ดินบันดาล คือ ไปอยู่ที่ๆ ส่งเสริมตน และถ้าประสานบุคคล โจโฉ ก็ต้องเชื่อ และต้องมีความสามารถส่วนตนด้วย

โจโฉ จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วทูลว่า เมืองลกเอี๋ยงนี้ มีอันตรายจากการจลาจล ร้างโรยมาแต่ครั้งตั๋งโต๊ะแล้ว บัดนี้พระองค์ได้เสด็จกลับมาอยู่ บ้านเมืองก็มิได้ปรกติ ขัดสนข้าวปลาอาหาร ถ้าจะให้ตกแต่งบ้านเมืองแลค่ายคูประตูหอรบขึ้นเล่า ก็จะลำบากแก่ไพร่ทั้งปวง แลเมืองฮูโต๋นั้น ประกอบด้วยค่ายคูประตูหอรบ อาณาประชาราษฎร์ก็มีทรัพย์สินมั่นคง ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ด้วยใกล้เมืองลกเอี๋ยง ถึงมาตรว่าจะมีสงครามก็จะได้ป้องกันได้สะดวก ข้าพเจ้าจะขอเชิญเสด็จพระองค์ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ เห็นขุนนางแลราษฎรทั้งปวงจะมีความสุข

เป็นอันว่า ได้ย้ายเมืองกันสมใจนึก

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๙/๓ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๙/๓
โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๙/๓
        เรามาสังเกตดวงที่ปรึกษากันสักนิดนะคะ ดวงของผู้ที่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีนั้น จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้

๑. จะต้องเป็นผู้ที่มีดาวภาคกลางคืน หรือดาวที่อยู่ในภพกดุมภะ เป็นต้นไปถึงภพปัตนิ มีกำลังมากกว่าดาวภาคกลางวัน
๒. ดาวแห่งสติปัญญา คือ ดาว ๔ และ ๕ จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่เข้มแข็ง คู่ธาตุ คู่สมพล หรือเป็นอุจจ์ เป็นเกษตร เป็นมหาจักร ทั้งยังต้องทำมุมระหว่างกัน เช่น ดาว ๕ และดาว ๔ นั้น ได้โยคเกณฑ์ที่ดี และได้รับกระแสสัมพันธ์จากดาว ๑ ด้วย
๓. ควรจะมีดาวมหาจักร หรือ ได้ดวงจุลจักรกุมลัคนา
๔. ดาวภพวินาศ ต้องเข้มแข็ง
๕. ต้องไม่มีดาวคู่ศัตรู มาเบียน ดาว ๔ หรือ ดาว ๕

ความแหลมคมของตังเจี๋ยว ก็ได้ปรากฏขึ้นในการให้คำแนะนำแก่โจโฉ เกี่ยวกับเรื่อง เอียวฮอง และ หันเซียม โดยแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ต้องใช้ทหารไปสอดแนมในเรื่องนี้ เพราะ

เอียวฮองนั้นเป็นพรรคพวกของลิฉุย หันเซียมนั้นเป็นนายโจร เข้ามาทำการครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกจากเมืองเตียงอัน มาอยู่ลกเอี๋ยง บัดนี้ท่านเข้ามาทำราชการอยู่เมืองหลวง เอียวฮอง และ หันเซียม กลัวท่าน จึงพาพรรคพวกไปหลบหลีก ณ เมืองไต้เหลียง สองคนนี้อุปมาเหมือนเสือไม่มีเขี้ยว แลนกหาปีกมิได้ ซึ่งจะคิดประการใดนั้น ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าเห็นว่านานไปก็จะได้ตัวเป็นมั่นคง

โจโฉได้ฟัง ก็คิดว่า ตังเจี๋ยวนี้พูดจาคม จึงปรึกษาต่อว่า เมืองลกเอี๋ยงนี้ เป็นอันตรายด้วยเพลิงไหม้เราจะคิดประการใด ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า

ท่านยกทหารเข้ามากำจัด ลิฉุย กุยกี นั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ และขุนนางทั้งปวงค่อยมีความสุขขึ้นเพราะท่าน บัดนี้ท่านจะทำนุบำรุงแผ่นดิน แลรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้สืบไปด้วยความสุจริตนั้น ความชอบของท่านก็จะมียิ่งขึ้นไปเป็นอันมาก แต่จะตบแต่งค่ายคูประตูรบในเมืองลกเอี๋ยงให้บริบูรณ์ขึ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นยังราชการสงครามมา ก็จะลำบากแก่ทหารท่าน ขอให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวงก็จะมีความยินดีด้วยเหมือนหนึ่งท่านนิมิต เมืองใหม่ถวายได้ทันที หัวเมืองแลราษฎรทั้งปวงก็จะสรรเสริญท่านว่า มิให้ลำบากแก่ไพร่ ซึ่งข้าพเจ้าว่าข้อนี้ให้ท่านดำริดูจึงควร

โจโฉ ได้ฟังดังนั้น มีความยินดี ถึงกับจับมือตังเจี๋ยวไว้ เพราะโจโฉเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ความหวาดระแวงของโจโฉยังมี เกรงว่าอาจมีขุนนางที่ไม่เห็นด้วย ทั้งยังกล้วการซุ่มโจมตีจาก เอียวฮอง และหันเซียมอีก

ตังเจี๋ยว แสดงความคิดเห็นต่อไป
ทุกวันนี้ ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงในเมืองหลวงก็อดอยากข้าวปลาอาหารเป็นจำนวนมาก ขอให้ท่านประกาศแก่คนทั้งปวงว่า ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ขัดสนด้วยอาหาร จะเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ ทางใกล้กันกับเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ จะได้จัดแจงเอาเสบียงไปส่งโดยง่าย ขุนนางทั้งปวงก็จะพร้อมใจช่วยท่าน อนึ่ง เอียวฮอง หันเซียม ซึ่งหนีไปอยู่ ณ เมืองไต้เหลียงนั้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเอาใจไว้ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อท่านสืบไป

โจโฉได้ฟังก็สิ้นระแวง ทั้งมีความยินดีสามารถกล่าวได้ว่า ตั๋งเจี๋ยว เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของโจโฉ ตั้งแต่นั้นมา


พวกเราที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีน ตอนที่ แมนจูก่อตั้งราชวงศ์ชิง ต้นตระกูลของราชวงฅ์ชิง เป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน จนมีผู้นำคนสำคัญที่มีนามว่า นูรฮาเช่อร์ได้ศึกษาและอ่านสามก๊กหลายเที่ยวแล้ว นำมาเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการปราบจีน นูรฮาเช่อร์ มีลูกชายคนสำคัญ คือ ตัวเอ๋อร์คุณ มีที่ปรึกษาคนสำคัญในการวางแผน จนได้ปกครองจีนเช่นกัน ที่เขียนแนะอย่างนี้ สำหรับผู้ดำเนินธุรกิจทั้งหลายจะหาที่ปรึกษาเก่งๆ ลองศึกษาในเรื่องสามก๊กนี้ดูนะคะ

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๙/๒ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

        เมื่อโจโฉเห็นพระอักษร จึงรู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับไปอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง จึงได้ปรึกษากับทหารทั้งปวง
ซุนฮก ที่ปรึกษาคนสำคัญ ให้ความเห็นอย่างชนิดที่เรียกว่า เห็นเจตนาตั้งแต่แรก

ซุนฮกจึงว่า ครั้งที่พระเจ้าจิ๋วซองอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น บ้านเมืองเป็นจลาจล พระเจ้าจิ๋วซองอ๋องให้หาจิ๋นบุนก๋งเข้าไปช่วยราชการเมือง ขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาจิ๋นบุนก๋ง อยู่มาจิ๋นบุนก๋งก็ได้ราชสมบัติโดยง่าย (มีอยู่ในเรื่องเลียดก๊ก คือ ยุคสงครามเจ็ดรัฐ) ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้หาท่านเข้าไปช่วยราชการก็ได้ทีแล้ว ควรจะยกเข้าไปตามรับสั่ง ถ้าท่านช้าอยู่ หัวเมืองผู้ใดที่มีฝีมือ ยกเข้าไปถึงก่อน ราชการก็จะสิทธิ์ขาดอยู่กับผู้นั้น ขอท่านยกเข้าไปให้ทันที โจโฉก็เห็นชอบด้วย” (เพราะตรงกับใจ)

เป็นที่ปรึกษา อย่างน้อยต้องเก่งประวัติศาสตร์ เด็กสมัยนี้ถ้าไม่เก่งประวัติศาสตร์ ก็เป็นที่ปรึกษาได้ยาก อย่าคิดว่าไม่จำเป็นนะคะ ธุรกิจอาจล้มได้หากขาดที่ปรึกษา จะทำการใหญ่ ที่ปรึกษาต้องดี

ท่านผู้อ่านสามก๊กทั้งหลาย ตอนหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อนที่โจโฉจะเข้าไปมีอำนาจในเมือง และอยู่ยืนยาวจนเป็นหนึ่งในสามก๊กนั้น ให้จำเจตนาเบื้องต้นไว้ให้ดี จะได้มีวินิจฉัยได้ว่า ใครเป็นผู้หวังดีต่อบ้านเมืองมากที่สุด

โหราศาสตร์พิชัยสงคราม,สามก๊กพิชัยยสงคราม,พระเจ้าเหี้ยนเต้,ajarn ann team
สามก๊ก: โจโฉ
เมื่อโจโฉ ยกมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบถวายบังคมคุกเข่าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นโจโฉ ก็มีความยินดี โจโฉกราบทูลว่า

ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ก่อนนั้น คิดอยู่ว่า จะสนองพระคุณมิได้ขาด ครั้งนี้ ลิฉุย กุยกี ทำการหยาบช้าต่อพระองค์นั้น อย่าได้ทรงวิตกเลยข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าลิฉุย กุยกี เสียให้ได้

พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดีนัก จึงตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน

เป็นอันว่าโจโฉ ได้ราวีกับกองทัพลิฉุย กุยกี จนพ่ายแพ้แตกทัพไป และครั้งนี้ ทำให้ขุนพลคนสำคัญ คือ เอียวหอง และโจรกลับใจ หันเซียม ที่มาสวามิภักดิ์คิดกลัวโจโฉ จึงอาสาพระเจ้าเหี้ยนเต้ยกทหารออกไปตามจับลิฉุย กุยกี คือยกกองทัพออกจากนอกเมืองไป

ในครั้งนี้ โจโฉ ได้รู้จักขุนนางลักษณะดี มีชื่อว่า ตังเจี๋ยวเนื่องจากเป็นผู้ที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ใช้ประสานติดต่อกับโจโฉ เพื่อปรึกษาข้อราชการ

โจโฉ เห็นรูปร่างตัวเจี๋ยว พ่วงพี ผิวเนื้อสดใส มีดวงตากลมโต คิ้วสุดหางตา มีลักษณะดี โจโฉก็ถามว่า ในเมืองหลวงนี้มิได้มีความสุข ทั้งข้าวปลาอาหารก็ขัดสน ตังเจี๋ยวบำรุงตัวประการใด จึงมีสีสันสมบูรณ์เหมือนบ้านเมืองปรกติดังนี้

ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้บำรุงตัวประการใดหามิได้ ข้าพเจ้ารับประทานอาหารจนอายุได้สามสิบปี
โจโฉ จึงหัวเราะ ถามว่า ท่านเป็นขุนนางตำแหน่งใด
ตังเจี๋ยวบอกว่า ข้าพเจ้านี้เป็นชาวเมืองเต็งโต๋ เป็นที่ปรึกษาอยู่กับอ้วนเสี้ยว ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับมาอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงเข้ามาทำราชการ แล้วโปรดให้เป็นที่เจียงยี่หลงซึ่งแปลภาษาไทยว่า เป็นที่ปรึกษา



โจโฉจึงว่า เราได้ยินลืออยู่ช้านานแล้ว ซึ่งได้มาพบท่านนี้ก็เป็นบุญของเรา จึงให้หาซุนฮกมาให้รู้จักกับตังเจี๋ยว แล้วกินโต๊ะกันตามธรรมเนียม