พิชัยสงครามกับสามก๊ก
ตอนที่ ๒/๕ (ภาพจูล่ง)
โดย
อาจารย์แอน
ย้อนมาถึงสามพี่น้องตระกูลจาง
อนาคตสั้น คือคิดการใหญ่เกินกำลังวาสนาของตน ทำให้เสียชีวิตในปีนี้สามคนรวด
ทีนี้เรามาย้อนดูดวงดาว
เมื่อแรกเริ่มก่อการ คือ เป็นช่วงตรุษจีน และช่วงนั้น ดาว ๑ ต้องโคจรเป็นวินาศของดาว
๕ คือประมาณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ถึง ๑๕ เมษายน ทำให้ดวงดาวคู่มิตรคู่นี้
ไม่ส่งผลถึงกันมีความหมายว่าจะขาดวาสนาและการอุปถัมภ์ค้ำจุน
ส่วนดาว
๗ ที่เป็นอุจจ์
อยู่ในตำแหน่งเข้มแข็งแต่อยู่ในตำแหน่งโดดเดี่ยวและอยู่ในราศีของชมพูทวีปที่มักจะเป็นไปตามสภาพแวดล้อม
กลุ่มชาวนาและกรรมกร
จะเป็นกลุ่มที่ขาดการศึกษา บางครั้งไร้ระเบียบ จึงไม่อาจครองใจคนทั้งหมดได้
เห็นไหมเริ่มถูกฤดูกาลแต่ก็ผิดจังหวะของดวงดาว
แสดงว่า การใช้วงจร ห้าธาตุ แปดทิศ สี่ฤดูกาล ต้องรู้จังหวะของดวงดาวด้วย
จางเจี่ยวป่วยตายเดือน
๘ คือช่วงที่ดาว ๑ เป็นนิจ อยู่ในตำแหน่งที่เสื่อมที่สุด
จางเหลียงถูกฆ่าตายในเดือน
๑๐ ช่วงนั้น ดาว ๑ อยู่ในเรือนของดาว ๗ ซึ่งหมายถึงอันตราย
เพราะอยู่ในเรือนของดาวที่มีกำลังเหนือกว่า
จางเป่า
น้องคนสุดท้องถูกฆ่าตาย เดือน ๑๑ ช่วงที่ดาว ๑ เป็นประ
เมื่อสามพี่น้องทำตัวเป็นดาว
๑ ดาวแห่งกษัตริย์และไม่มีวาสนาบารมีค้ำจุน แต่ไปทำการที่เกินตัวจึงต้องโค่นลงเมื่อดาว
๑ ตามจักรราศีโคจรเข้าสู่ที่เสื่อมนั่นเอง
จึงเป็นอุทาหรณ์สั้นๆ
ง่ายๆ ว่า อย่าทำอะไรที่เกินวาสนาบารมีของตน แม้จะมีจังหวะดาวส่งผลก็ตาม
เพราะดาวที่ส่งผลนั้น อาจเป็นดาวบาปเคราะห์ ที่เป็นภาพลวงตา
หรือแม้แต่มีความรู้ตามตำราที่สามพี่น้องได้มา ซึ่งเชื่อว่าคือ ตำรายันต์แปดทิศ
ถ้าใช้ไม่ถูกไม่เป็น ก็หายนะได้
และถ้าพื้นชาตาเดิมของเราไม่มีดาวศุภเคราะห์ที่มีกำลังเข้มแข็งจริงๆ
นั่นหมายถึงบารมีเราไม่มี ก็อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และผู้อื่นได้เช่นกัน
ถึงแม้แกนนำทั้งสามคนตายติดต่อกัน
แต่ขบวนการโจรโพกผ้าเหลืองยังดำเนินสืบต่อ ยุคนี้ประชาชนที่ร่วมด้วย
ได้เปลี่ยนแซ่เดิมเป็นแซ่จางกันเป็นจำนวนมาก และยังคงนิยมเรื่องการปลุกเสกคาถาอาคม
ลงเลขสักยันต์เพื่อป้องกันอันตรายจากการสู้รบ
ในขณะเดียวกัน
ระบบราชการที่ขันทีเป็นผู้สร้าง คือปิดบังความดีความชอบ ถือเอาสินบาทคาดสินบน
ทำให้คนดีเกิดความท้อแท้ในวงราชการ พากันลาออกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งโจโฉ เล่าปี่
กวนอูและเตียวหุย
โจโฉลาออก
เพราะถูกย้ายไปเป็นเจ้าเมืองตงจวิน ที่เป็นเมืองเล็กๆ
เล่าปี่
ก็ทิ้งตำแหน่งผู้บังคับการอำเภออานสี่ เพราะไม่พอใจผู้ตรวจราชการที่ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมมาข่มขู่
สามพี่น้องรุมตีผู้ตรวจราชการแล้วจำต้องหนีก่อน เพราะตอนปราบโจร ผลงานก็ไม่ปรากฏ
ไม่มีใครช่วยทูลเบื้องสูง
หวงฝูซงปราบกบฏมีผลงาน
แต่ไม่ได้รับความดีความชอบ ถูกขันทีใส่ร้ายป้ายสีจนถูกลดอำนาจการคุมทหาร
จึงต้องลาออก
การจลาจลก็ลุกลามไปเรื่อยๆ
ถึงขนาดสังหารเจ้าเมืองหนานหยาง มณฑลจิงโจว หรือเมืองเก็งจิ๋วนั่นเอง
ในตอนนี้
มีมังกรน้อยก่อกำเนิด
ซุนเกี๋ยนซึ่งเป็นขุนศึกคนหนึ่งมีผลงานการรบที่โดดเด่นในภาคใต้
เริ่มมีสมัครพรรคพวกสะสมอิทธิพล เขาออกรบโดยพาลูกชายอีกสี่คนออกสนามรบด้วย
เพื่อสอนลูกให้มีประสบการณ์ในการศึกสงคราม
ซุนเกี๋ยน
มีฝีมือในการปราบกบฏจนมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นเก็งจิ๋ว
และได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองฉางซา ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองเอก ของมณฑลเหอหนาน
และกินอาณาเขตไปถึงเก็งจิ๋วด้วย
เมื่อโจรโพกผ้าเหลืองไม่ได้ลดน้อยลง
แต่ดูเหมือนจะมากขึ้น ขุนนางทั้งหลายที่ดีๆ ก็ต้องกลับเข้ารับราชการอีก
ในปี
พ.ศ. ๗๓๐ กองซุนจ้าน เพื่อนรักของเล่าปี่ รับราชการได้เป็นเจ้ากรมทหารม้า
ในปี
๗๓๑ มีการปฏิรูปการปกครอง ให้ผู้ตรวจราชการมณฑลมีอำนาจมากขึ้น
ควบคุมได้ทั้งทางทหารและพลเรือน เปรียบเสมือนแม่ทัพใหญ่ ดำเนินการปรากบฏ
แต่ก็ไม่เป็นผลให้กบฏลดน้อยลง
โจโฉ
กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ตอนนี้
โจโฉอายุ ๓๔ ปี และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนายพลหยวนเส้า ซึ่งก็คือ
อ้วนเสี้ยวนั่นเอง
เล่าปี่กลับเข้ารับราชการ
ได้รับตำแหน่งปลัดอำเภอเซี่ยพี้ เมื่ออายุย่าง ๒๘ ปี สังกัด กองซุนจ้าน
กองซุนจ้านผู้นี้
ชอบใส่ชุดขาวเป็นชีวิตจิตใจ ยุคนี้กองซุนจ้านมีบารมีมาก เขาสวมชุดขาว ขี่ม้าขาว
จึงถูกเรียกว่า “อัศวินม้าขาว” ดูท่าจะหล่อ
แต่หลอกว้านจงไม่ได้ให้เป็นพระเอก เป็นแค่คนส่งให้เล่าปี่ดัง
สามก๊ก |
กองซุนจ้านมีทหารยอดฝีมือ
ซึ่งส่วนมากก็สวมใส่ชุดขาวเช่นกัน และมีอยู่หนึ่งคนเป็นทหารเอกที่เป็นยอดฝีมือ
นามว่า “จ้าวจื่อหลง หรือ จ้าวหยุน” ซึ่งที่เรารู้จักกันดี คือ จูล่ง
เล่าปี่
รู้จักจูล่ง ตอนนี้แหละค่ะ
หวงฝูซง
ก็ถูกเรียกตัวเข้ารับราชการเช่นเดียวกัน เพราะทางการต้องระดมขุนศึกยอดฝีมือให้มากที่สุด
เพื่อกอบกู้สถานการณ์อันเลวร้ายของบ้านเมือง
ในที่สุดขบถโจรโพกผ้าเหลืองก็ราบคาบ
ถูกปราบปรามเรียบร้อย แต่ความทุกข์ยากของประชาชนก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม